ปัจจัยทีÉมีผลต่อการตัดสินใจใน...

117
ปัจจัยที Éมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตัÊงสมาชิกสภาผู ้แทนราษฎร จังหวัดสุโขทัย ในห้วงเวลาปี พ.ศ.2559 โดย นางสาวดาวเรือง นาคสวัสดิ Í สารนิพนธ์นีÊเป็นส่วนหนึ Éงของหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสื Éอสารการเมือง วิทยาลัยสื Éอสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก พ.ศ. 2559

Transcript of ปัจจัยทีÉมีผลต่อการตัดสินใจใน...

  • ปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจในการเลือกตังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    จังหวัดสุโขทัย ในห้วงเวลาปี พ.ศ.2559

    โดย

    นางสาวดาวเรือง นาคสวัสดิ

    สารนิพนธ์นีเป็นส่วนหนึงของหลักสูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑิต

    สาขาสือสารการเมือง วิทยาลัยสือสารการเมือง

    มหาวิทยาลัยเกริก

    พ.ศ. 2559

  • FACTORS AFFECTING THE DECISION MAKING IN THE ELECTION

    OF MEMBER OF PARLIAMENT FROM SUKHOTHAI

    IN THE B.E.2559 ELECTION

    BY

    MS.DAWRUANG NAKSAWAT

    A STUDY REPORT SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR

    THE MASTER DEGREE OF POLITICAL SCIENCE IN POLITICAL COMMUNICATION

    POLITICAL COMMUNICATION COLLEGE

    KRIRK UNIVERSITY

    2016

  • (1)

    (1)

    หัวข้อสารนิพนธ์ ปัจจยัทีมีผลตอ่การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    จงัหวดัสโุขทยัในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559

    ชือผู้วจัิย นางสาวดาวเรือง นาคสวสัด ิ

    สาขาวชิา / คณะ สาขาวิชาสือสารการเมือง วิทยาลยัสือสารการเมือง

    / มหาวทิยาลัย มหาวิทยาลยัเกริก

    อาจารย์ทีปรึกษาวทิยานิพนธ์ ดร.นนัทนา นนัทวโรภาส

    ปีการศึกษา 2559

    บทคัดย่อ

    การศึกษาเรือง“ปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรจังหวัด

    สโุขทัยในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559”มีวัตถุประสงค์เพือ (1) ศึกษาปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจ

    เลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดสโุขทัย ในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559(2) เพือศึกษาถึง

    ความสมัพนัธ์ระหวา่งลกัษณะประชากรศาสตร์กบัการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    จงัหวดัสโุขทยั ในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559(3) เพือศึกษาถึงความสมัพันธ์ระหว่างการเปิดรับสือกับ

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั ในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559 การศึกษาครังนีเป็นการศึกษาวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้แบบสอบถามทาการศึกษาจาก

    ประชาชนชาวจงัหวดัสโุขทยัทีมีอายตุงัแต1่8 ปีขนึไปและเป็นผู้ มีสิทธิออกเสียงเลือกตงัในจังหวดั

    สโุขทยักําหนดตวัอย่างจํานวน 400 คนทําการวิเคราะห์ข้อมลูด้วยสถิติเชิงพรรณา (descriptive

    statistic) เพือบรรยายลกัษณะตวัแปรตา่งๆได้แก่คา่ร้อยละคา่เฉลียคา่เบียงเบนมาตรฐานและสถิติ

    เชิงอนุมาณด้วยค่าสถิติ F-Testค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s correlation)และทดสอบ

    เปรียบเทียบรายคู่ (Post Hoc)โดยใช้วิธีของเชฟเฟ่ (Scheffe)เมือพบความแตกต่างกันอย่างมี

    นยัสําคญัทางสถิต.ิ05

    ผลการวิจยัพบวา่

    ผู้ ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชายมีอายุระหว่าง26-35 ปีมีการศึกษาระดับ

    ปริญญาตรีรายได้ตอ่เดือนตํากวา่ 10,000 บาทและประกอบอาชีพรับจ้างตามลําดบั

    ชาวสุโขทัยมีการเปิดรับสือทัวไปโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากเมือพิจารณาเป็นรายข้อ

    พบวา่ เปิดรับสือโทรทศัน์มากทีสดุเปิดรับสืออินเตอร์เน็ตสือวิทยุและสือหนังสือพิมพ์อยู่ในระดบั

    มาก

  • (2)

    (2)

    ชาวสโุขทยัมีความคิดเห็นเกียวกับปัจจัยทีมีผลต่อการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทน

    ราษฎรโดยภาพรวมอยู่ในระดบัมากเมือพิจารณาเป็นรายข้อ พบวา่ มีความคิดเห็นอยู่ในระดบัมาก

    ทีสดุ คือ ปัจจัยด้านพรรคการเมืองทีสงักัดและปัจจัยด้านคุณลักษณะของผู้สมคัรรับเลือกตงัมี

    ความคิดเห็นอยู่ในระดบัมาก คือ ปัจจัยด้านนโยบายของผู้สมคัรปัจจัยด้านการรณรงค์หาเสียง

    เลือกตงัและปัจจยัด้านสือบคุคลทีมีอิทธิพลตอ่การตดัสินใจ

    ผลการทดสอบสมมติฐานพบวา่

    เพศไม่มีความสมัพันธ์กับปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจการเลือกตังสมาชิกสภาผู้ แทน

    ราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    อายมีุความสมัพนัธ์กบัการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดัสโุขทัย เมือ

    ทดสอบเป็นรายคู ่พบความแตกตา่ง1 คู ่ได้แกช่าวสโุขทยัทีมีอายรุะหวา่ง 18 – 25 ปีกบัชาวสโุขทัย

    ทีมีอายรุะหวา่ง 36 – 45 ปี

    ระดบัการศกึษา มีความสมัพนัธ์กบัการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั

    สุโขทัย เมือทดสอบเป็นรายคู่ พบความแตกต่าง2 คู่ ได้แก่ ชาวสุโขทัยทีมีการศึกษาระดับ

    ประถมศึกษากับชาวสโุขทัยทีมีการศึกษาระดบัปริญญาตรีและชาวสุโขทัยทีมีการศึกษาระดับ

    ประถมศกึษากบัชาวสโุขทยัทีมีระดบัการศกึษาสงูกวา่ปริญญาตรี

    รายได้ มีความสมัพันธ์กับการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดัสโุขทัย

    เมือทดสอบเป็นรายคู่ พบความแตกต่าง3 คู่ ได้แก่ ชาวจังหวัดสโุขทัยทีมีรายได้ตํากว่า10,000

    บาทกับชาวจังหวดัสโุขทัยทีมีรายได้ 10,001-15,000 บาทชาวสโุขทัยทีมีรายได้ตํากว่า10,000

    บาทกบัชาวสโุขทยัทีมีรายได้ 15,001-20,000 บาท และชาวสโุขทัยทีมีรายได้ตํากว่า 10,000 บาท

    กบัชาวสโุขทยัทีมีรายได้ 30,001 บาท ขนึไป

    อาชีพ มีความสมัพันธ์กับการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดัสโุขทัย

    เมือทดสอบเป็นรายคู ่พบความแตกตา่ง1 คู่ ได้แก่ ชาวจังหวดัสโุขทัยทีประกอบอาชีพเกษตรกร

    กบัชาวจงัหวดัสโุขทยัทีประกอบอาชีพรับราชการ/พนกังานรัฐวิสาหกิจ

    การเปิดรับสือ มีความสมัพันธ์กับการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั

    สโุขทยั เมือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การเปิดรับสือโทรทัศน์สือวิทยุ สือหนังสือพิมพ์ และสือ

    อินเตอร์เน็ตมีความสมัพนัธ์กบัการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

  • (3)

    (3)

    กิตตกิรรมประกาศ

    สารนิพนธ์ฉบบันีสําเร็จลงได้ด้วยความอนเุคราะห์ช่วยเหลือจากบคุคลหลายฝ่ายดงันี

    ผู้ วิจยัขอกราบขอบพระคณุท่านอาจารย์ดร.นนัทนา นนัทวโรภาสทีปรึกษาสารนิพนธ์และ

    คณบดีวิทยาลยัสือสารการเมืองทีกรุณาให้คําปรึกษาแนะนําช่วยเหลือชีแนะแนวทางในการจัดทํา

    และปรับปรุงแก้ไขด้วยความเอาใจใสอ่ย่างดียิงตลอดมา

    ผู้ วิจยัขอกราบขอบพระคณุคณะกรรมการทุกท่านทีสละเวลาอนัมีค่ายิงมาให้คําแนะนํา

    และคอยตรวจทานแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆพร้อมทังเสนอแนวทางทีถูกต้องจนสารนิพนธ์ฉบับนี

    สําเร็จลลุว่งไปได้ด้วยดี

    ผู้ วิจยัขอขอบพระคณุ กลัยาณมิตรวิทยาลยัสือสารการเมืองทกุคนทีเป็นกําลงัใจให้พร้อม

    กบัให้คําแนะนําในการทําสารนิพนธ์ฉบบันีคณุคา่ของสารนิพนธ์ฉบบันีผู้ศกึษาขอมอบให้กบับคุคล

    ทีกลา่วมาข้างต้นด้วยความเตม็ใจอย่างยิง

    ผู้ วิจยัขอขอบพระคณุประชาชนชาวจังหวดัสโุขทัยทุกท่าน ตลอดจนต่อผู้ ทีเกียวข้องทีให้

    ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามจนทําให้สารนิพนธ์นีสําเร็จ

    ผู้ วิจยัขอขอบพระคณุบิดามารดาครอบครัว ญาติพีน้อง และผู้มีพระคณุทกุท่านทีไมไ่ด้เอย่

    นามมา ณ ทีนี

    ดาวเรือง นาคสวสัด ิ

    มหาวิทยาลยัเกริก

    พ.ศ.2559

  • (4)

    (4)

    สารบัญ

    หน้า

    บทคดัย่อ (1)

    กิตติกรรมประกาศ (3)

    สารบญัตาราง (6)

    สารบญัแผนภาพ (9)

    บทที 1 บทนํา 1

    1.1 ทีมาและความสําคญัของปัญหา 1

    1.2 วตัถปุระสงค์ในการวิจยั 4

    1.3 สมมติฐานในการวิจยั 5

    1.4 ขอบเขตการศกึษา 5

    1.5 คํานิยามศพัท์ทีเกียวข้อง 5

    1.6 ประโยชน์ทีคาดวา่จะได้รับ 6

    บทที 2 แนวคิด ทฤษฏีและงานวิจยัทีเกียวข้อง 7

    2.1 ทฤษฎีการสือสารและการสือสารทางการเมือง 7

    2.2 แนวคิดเกียวกบัการตดัสินใจเลือกตงั 15

    2.3 แนวคิดเกียวกบัการบทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 25

    2.4 งานวิจยัทีเกียวข้อง 37

    2.5 กรอบแนวคิดในการวิจยั 43

    บทที 3 ระเบียบวิธีวิจยั 45

    3.1 แนวทางการศกึษาวิจยั 45

    3.2 ประชากร และกลุม่ตวัอย่าง 45

    3.3 เครืองมือในการวิจยั 47

    3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู 49

    3.5 การวิเคราะห์ข้อมลู 49

    บทที 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 51

    4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมลูสว่นบคุคล 51

    4.2 การเปิดรับสือตา่งๆ 56

  • (5)

    (5)

    สารบัญ (ต่อ)

    หน้า

    4.3 ปัจจยัทีมีผลตอ่การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั 57

    4.4 ผลการทดสอบสมมตฐิานในการวิจยั 63

    บทที 5 สรุปผลการวิจยั อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 82

    5.1 สรุปผลการวิจยั 82

    5.2 การอภิปรายผล 89

    5.3 ข้อเสนอแนะ 96

    ภาคผนวก 98

    ภาคผนวก ก. แบบสอบถาม 99

    บรรณานกุรม 104

    ประวตัิผู้ วิจยั 107

  • (6)

    (6)

    สารบัญตาราง

    ตารางที หน้า

    1 จํานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามเพศ 51

    2 จํานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามอาย ุ 52

    3 จํานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามระดบัการศกึษา 53

    4 จํานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามรายได้ตอ่เดือน 54

    5 จํานวน และร้อยละของผู้ตอบแบบสอบถาม จําแนกตามอาชีพ 55

    6 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐาน การเปิดรับสือของประชาชนในจังหวดั

    สโุขทยั

    56

    7 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั โดยภาพรวม

    57

    8 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั ด้านคณุลกัษณะ

    ของผู้สมคัร

    58

    9 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดัสโุขทัย ด้านการรณรงค์

    หาเสียง

    59

    10 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั ด้านนโยบายของ

    ผู้สมคัร

    60

    11 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตัดสินใจเลือกตังสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรจังหวัดสุโขทัย ด้านพรรค

    การเมือง

    61

    12 คา่เฉลีย และสว่นเบียงเบนมาตรฐานของความคิดเห็นเกียวกบัปัจจยัทีมีผลตอ่

    การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั ด้านสือบคุคลทีมี

    อิทธิพลตอ่การตดัสินใจ

    62

    13 ผลการทดสอบสมมติฐานการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ

    ประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตามเพศ

    63

  • (7)

    (7)

    สารบัญตาราง (ต่อ)

    ตารางที หน้า

    14 ผลการทดสอบสมมติฐานการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ

    ประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตามอาย ุ

    64

    15 ผลการทดสอบสมมตฐิาน จําแนกตามระดบัการศกึษา 67

    16 ผลการทดสอบสมมตฐิาน จําแนกตามระดบัการศกึษา 68

    17 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู ่(Post Hoc) คา่เฉลียของการตดัสินใจ

    เลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตาม

    ระดบัการศกึษา

    70

    18 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    ของประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตามรายได้

    71

    19 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู่ (Post Hoc) ค่าเฉลียของการตดัสินใจ

    เลือกตังสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรของประชาชนจังหวัดสุโขทัย จําแนกตาม

    รายได้

    73

    20 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    ของประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตามอาชีพ

    75

    21 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบรายคู ่(Post Hoc) คา่เฉลียของการตดัสินใจ

    เลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจงัหวดัสโุขทยั จําแนกตาม

    อาชีพ

    77

    22 แสดงผลการทดสอบสมมติฐานความสมัพันธ์ระหว่างการเปิดรับสือกับการ

    ตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชนจงัหวดัสโุขทยั

    78

  • (8)

    (8)

    สารบัญแผนภาพ

    แผนภาพที หน้า

    1 แบบจําลองการสือสารของเดวิด เค. เบอร์โล(David K.Berlo) 9

    2 แบบจําลองการสือสารทางการเมืองของไบร์อนั แมคแนร์(Brian McNair) 14

    3 แบบจําลองของฮาร์โรลด์ ลาสเวลส์ (Harold Lasswell) 15

    4 กรอบแนวคิดในการวิจยั 43

  • บทท ี1

    บทนํา

    1.1 ทีมาและความสาํคัญของปัญหา

    ประเทศไทยมีการปกครองในแบบระบอบประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมาย

    สงูสดุในการปกครองประเทศ อํานาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนจึงทําการเลือกตวัแทนโดย

    การเลือกตังสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎร หรือ ส.ส. เพือไปทําหน้าทีแทนตน โดยในการเลือก

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละครังจะต้องมีการรณรงค์หาเสียงเลือกตงัของพรรคการเมืองต่างๆ

    ดงันนัจึงจะเห็นวา่สิงทีมีผลตอ่การเลือกตงัในแตล่ะครังก็คือปัจจยัตา่งๆ ทีมีผลตอ่การตดัสินใจของ

    ประชาชนในการเลือกผู้แทนทีตนเองต้องการให้เข้ามาบริหารประเทศ ปัจจยัในการลงคะแนนเสียง

    เลือกตงั ได้แกค่ณุสมบตัิของผู้สมคัรรับเลือกตงั นโยบาย พรรคทีสงักดั สือการรณรงค์หาเสียง และ

    อิทธิพลของสือบคุคล เป็นต้น ดงันันผู้สมคัรรับเลือกตงัจึงจําเป็นต้องศึกษาสิงเหล่านี เพราะล้วน

    เป็นปัจจัยสําคัญต่อการตัดสินใจเลือกตงัของประชาชนทังสิน และเป็นสิงทีผู้สมัครรับเลือกตัง

    จําเป็นต้องศกึษาและหาความรู้ เพือนํามาประกอบการรณรงค์หาเสียงเลือกตงั เพือให้ได้รับความ

    ไว้วางใจจากประชาชนในพืนทีของตน รวมทังการได้รับชัยชนะในการเลือกตัง กล่าวได้ว่าการ

    เลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. หมายถึง การเลือกบคุคลทีมีความรู้ความสามารถตาม

    ความต้องการของประชาชน เพือเข้าไปทําหน้าทีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ในการเลือกตัง

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.จึงเป็นสิงสําคญั เนืองจากเป็นคะแนนเสียงจากประชาชนข้าง

    มาก1

    ประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.แบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ 1 .ส.ส. แบบ

    แบ่งเขตเป็นการเลือกผู้สมัครทีมีคะแนนสูงสุดให้เป็น ส.ส. 2. ส.ส. แบบบัญชีรายชือ เป็นการ

    เลือกตังโดยทางพรรคการเมืองนันๆ จะส่งผู้ สมัครแบบบัญชีรายชือไว้เพียงบัญชีเดียว ซึงการ

    เลือกตงัแบบนีหมายถึง ทงัประเทศจะมีผู้สมคัรแบบบญัชีรายชือชดุเดียวกนั

    บทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส. ในสภา ได้แก่ 1.เป็นตวัแทนประชาชนใน

    การเสนอและพิจารณาแก้ไขเพิมเติมและร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ตงัแต่เริมต้น

    จนถึงมีผลบงัคบัใช้เป็นกฎหมายเพือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน 2. มีอํานาจในการ

    1บวรศกัดิ อวุรรณโณ. กฎหมายมหาชนเล่ม 3: ทีมาและนิติวิธี.กรุงเทพมหานคร: นิติธรรม.

    2538.

  • 2

    ควบคมุการบริหารราชการแผน่ดินการตงักระทู้ถาม เสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทัวไปเพือลงมติไม่

    ไว้วางใจรัฐมนตรีได้ 3. สิทธิถอดถอนผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง 4. อํานาจในการควบคมุการ

    ตรากฎหมายทีขดัหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 5. อํานาจในการให้ความเห็นชอบ ส่วนบทบาทของ

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.นอกสภา ทีออกไปพบปะเยียมเยือนประชาชนในพืนที ได้แก่ 1.

    ชีให้เห็นถึงการให้ความสําคญัและการเอาใจใสท่กุข์สขุของประชาชน 2. รับฟังปัญหาโดยตรงจาก

    ประชาชนเพือนําปัญหานันไปแก้ไขโดยเร็วทีสดุ 3.ทําให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับข้อมูล

    โดยตรงจากประชาชน เพือใช้ควบคมุการทํางานของรัฐบาล และเพือเสนอแนะการตรากฎหมาย

    ตา่งๆ ในรัฐสภาตอ่ไป

    จังหวัดสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของชนชาติไทยมากกว่า 700 ปี ตังอยู่ภาคเหนือ

    ตอนล่างของประเทศไทย ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 440 กิโลเมตร มีเนือทีประมาณ

    4,122,557 ไร่ พืนทีส่วนใหญ่เป็นทีราบลุ่ม อาชีพหลกัของชาวสุโขทัย คือ เกษตรกรรม ดงันัน

    สภาพทางเศรษฐกิจของจงัหวดัสโุขทยัจึงขนึอยู่กบัผลผลิตภาคเกษตรเป็นหลกั รองลงมา คือ การ

    พาณิชยกรรม การบริการการท่องเทียว และการอตุสาหกรรม2

    การเกษตรกรรมของชาวสโุขทัย จําแนกเป็น 1. การกสิกรรม พืชเศรษฐกิจทีสําคญัได้แก่

    อ้อย ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ข้าวเหนียว ข้าวโพดเลียงสตัว์ ถัวเหลือง ถัวเขียวผิวดํา ถัวเขียวผิวมัน

    ยาสบู ฝา้ย งา และถวัลิสง สว่นสินค้าเกษตรทีสําคญัอืนๆ ได้แก่ ส้มเขียวหวาน กล้วยนําว้า มะม่วง

    พทุรา ลางสาด ทุเรียน ละมดุ มะปราง 2. การปศสุตัว์ ได้แก่ การเลียงโคเนือ โคนม ไก่ เป็ด สกุร

    กระบือ แพะ แกะ โดยเฉพาะการเลียงโคเนือและโคนม เป็นอาชีพทีเริมมีบทบาทและมีการเลียงใน

    เชิงพาณิชย์มากขนึ 3. การประมง เป็นการประมงนําจืดตามแหลง่นําธรรมชาติ แม้การเลียงปลาใน

    บ่อเริมมีมากขนึ แตย่งัเป็นกิจการขนาดเลก็

    การพาณิชยกรรม การค้าสง่และค้าปลีก เป็นสาขาเศรษฐกิจทีสําคญัอนัดบัสองของจงัหวดั

    สโุขทยั เนืองจากประชากรสว่นใหญ่ประกอบอาชีพทางการเกษตร การประกอบธรุกิจซือขายสินค้า

    เกษตรจึงมีพ่อค้าเข้ามาประกอบกิจการเป็นจํานวนมาก สว่นใหญ่จะเป็นพ่อค้าในพืนทีกระจายอยู่

    ในทุกอําเภอ โดยมีศูนย์กลางธุรกิจการค้าทีสําคญั 2 แหล่ง คือ อําเภอเมืองสุโขทัย และอําเภอ

    สวรรคโลก นอกจากนียงัมีแหลง่ซือขายปศสุตัว์ทีเรียกว่า ตลาดนัดโคกระบือ กระจายตามท้องถิน

    ตา่งๆ ด้วย

    2สํานกังานเศรษฐกิจการเกษตร. เศรษฐกิจการเกษตรจังหวดัสุโขทยั. สโุขทัย: สํานักงาน

    เศรษฐกิจการเกษตรจงัหวดัสโุขทยั. 2558.

  • 3

    การบริการและการท่องเทียว จังหวดัสุโขทัยมีแหล่งท่องเทียวทีสําคญัๆ มากมาย ได้แก่

    แหล่งท่องเทียวทีได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก คือ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยาน

    ประวตัิศาสตร์ศรีสชันาลยั นอกจากนียังมีแหล่งท่องเทียวทางประวตัิศาสตร์ ศิลปวฒันธรรมอืนๆ

    และแหลง่ท่องเทียวทางธรรมชาติทีสวยงาม ทําให้การบริการและการท่องเทียวเป็นสาขาเศรษฐกิจ

    ทีสําคญัเป็นอนัดบัสามของจงัหวดัสโุขทยั

    การอุตสาหกรรม เป็นสาขาเศรษฐกิจสําคัญลําดับทีสี อุตสาหกรรมส่วนใหญ่เป็น

    อตุสาหกรรมทีเกียวข้องกบัการเกษตรและอตุสาหกรรมบริการ ซึงสว่นใหญ่เป็นอตุสาหกรรมขนาด

    เลก็ และเทคโนโลยีการผลิตไมซ่บัซ้อนมาก เช่น โรงงานซ่อมและผลิตเครืองมืออปุกรณ์การเกษตร

    โรงงานอดัฝา้ยและนุ่น โรงสีข้าวและโรงงานสกดันํามนัพืช โรงงานอตุสาหกรรมทําเยือกระดาษสา

    เป็นต้น สว่นอตุสาหกรรมในครัวเรือน ได้แก่ การทอผ้าตีนจกทีบ้านหาดเสียว อําเภอศรีสชันาลยั

    การทําเครืองปันดินเผาทีบ้านทุ่งหลวง อําเภอคีรีมาศ การทําเซรามิคประเภทสังคโลกโบราณที

    ตําบลเมืองเก่า อําเภอเมืองสโุขทัย และอําเภอศรีสชันาลยั การทํานําตาลงบอ้อยทีตําบลเกาะตา

    เลียง อําเภอศรีสําโรง และตําบลวงัไม้ขอน ตําบลย่านยาว อําเภอสวรรคโลก3

    จงัหวดัสโุขทยั มีนกัการเมืองทีมีชือเสียงและเป็นตระกลูการเมืองทีได้รับเลือกตงัมากทีสดุ

    คือ ตระกลู "เทพสทิุน" และ ตระกลู “ลิมปะพนัธุ์” โดยตระกลู "เทพสทิุน" มีนกัการเมืองทีครําหวอด

    แวดวงการเมืองและมากด้วยบารมีในการเมืองระดบัชาตแิละท้องถิน คือ นายสมศกัดิ เทพสทิุน ที

    เคยได้รับเลือกตงัเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยัถึง 7 สมยั เป็นผู้ทีกว้างขวางและทรง

    อิทธิพลในการเมืองจงัหวดัสโุขทยัทกุระดบั สว่นตระกลู “ลิมปะพนัธุ์” นนั เป็นตระกลูการเมืองใหญ่

    อีกตระกลูของการเมืองสโุขทยั มีฐานเสียงครอบคลมุอยู่ทาง 5 อําเภอตอนเหนือของจังหวดัสโุขทัย

    โดยนายสมชาติ ลิมปะพนัธุ์ ได้รับการยกย่องจากคนสโุขทัยว่าเป็นสภุาพบุรุษทางการเมือง นาย

    ประพาส ลิมปะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง ซึงปัจจุบันยังคงมีบทบาทในแวดวงการเมือง

    ระดบัชาติ และขนุเพ่ง ลิมปะพนัธุ์ เป็นอดีต ส.ส. จังหวดัสโุขทัยในยุคเริมแรก เป็นทีรักและเคารพ

    ของคนสโุขทยัมาช้านาน4

    จังหวดัสโุขทัยถือว่าเป็นเมืองใหญ่ มีประชากรรวมทังสิน จํานวน 602,061คน และมีผู้ มี

    สิทธิเลือกตงั จํานวน464,209 คน จังหวดัสโุขทัยแบ่งการปกครองเป็น 9 อําเภอ คือ อําเภอเมือง

    3เกศรินทร์ อําขํา.ข้อมูลด้านเศรษฐกิจการค้าของจังหวัดสุโขทยั. สุโขทัย: ศูนย์ข้อมูล

    เศรษฐกิจการค้าจงัหวดัจงัหวดัสโุขทยั. 2558. 4สํานักงานจังหวดัสโุขทัย. สรุปผลการเลือกตงั ส.ส. จังหวดัสุโขทยั. สโุขทัย: กลุ่มงาน

    ข้อมลูสารสนเทศและการสือสารจงัหวดัสโุขทยั. 2558.

  • 4

    สโุขทัย อําเภอกงไกรลาศ อําเภอทุ่งเสลียม อําเภอศรีสําโรงอําเภอคีรีมาศ อําเภอศรีสัชนาลัย

    อําเภอบ้านดา่นลานหอย อําเภอสวรรคโลก และอําเภอศรีนคร

    ในการเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี พ.ศ. 2554 จงัหวดัสโุขทยัแบ่งเขตการเลือกตงั

    ออกเป็น 4 เขต ซึงผลการเลือกตงัปรากฏวา่

    เขตเลือกตงัที 1 นายวิรัตน์ วิริยะพงษ์ ผู้สมคัรหมายเลข 10จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้รับ

    เลือกตงั ด้วยคะแนน 34,230 เสียง

    เขตเลือกตงัที 2 นายสมัพันธ์ ตงัเบญจผล ผู้สมคัรหมายเลข 10จากพรรคประชาธิปัตย์

    ได้รับเลือกตงัด้วยคะแนน 33,263 เสียง

    เขตเลือกตงัที 3 นายจักรวาล ชัยวิรัตน์นุกูล ผู้สมคัรหมายเลข 16จากพรรคภมิูใจไทย

    ได้รับเลือกตงัด้วยคะแนน 27,671 เสียง

    เขตเลือกตังที 4 นายมนู พุกประเสริฐ ผู้สมัครหมายเลข 16จากพรรคภูมิใจไทย ได้รับ

    เลือกตงัด้วยคะแนน 25,934 เสียง

    จากผลการเลือกตงัดงักลา่ว แสดงให้เห็นถึงการนําเอาบารมีของตวับคุคลในพืนทีมาใช้ใน

    การสนบัสนนุให้ได้รับการเลือกตงัโดยเฉพาะนายสมศกัดิ เทพสทิุน ผู้ มีอํานาจในพรรคภมิูใจไทย

    อย่างไมเ่ป็นทางการถือเป็นผู้ทีมีฐานการสนบัสนนุจากประชาชนจงัหวดัสโุขทัยอย่างกว้างขวางซึง

    ปัจจยัด้านความสมัพนัธ์สว่นตวัเหลา่นีแสดงให้เห็นว่าปัจจัยด้านความสมัพันธ์ส่วนบุคคลยังคงมี

    อิทธิพลอย่างยิงตอ่ชยัชนะในการเลือกตงัทีจงัหวดัสโุขทยั ซึงอาจจะสง่ผลตอ่การเลือกตงัทวัไปทีจะ

    มีขึนในครังต่อไป ทําให้ผู้ วิจัยจึงสนใจทีจะศึกษาปัจจัยที มีผลต่อการตัดสินใจเ ลือกตัง

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของชาวสโุขทยัวา่เป็นอย่างไร เพือเป็นประโยชน์ตอ่การเตรียมความพร้อม

    ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตังของจังหวัดสุโขทัย และเป็นประโยชน์ต่อสาขาวิชาการสือสาร

    การเมืองตอ่ไป

    1.2 วัตถุประสงค์การศึกษา

    1) เพือศกึษาปัจจยัทีมีผลตอ่การเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    2) เพือศึกษาถึงความสมัพันธ์ระหว่างลกัษณะประชากรศาสตร์กับการตดัสินใจเลือกตงั

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    3) เพือศกึษาถึงความสมัพันธ์ระหว่างการเปิดรับสือกับการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภา

    ผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

  • 5

    1.3 สมมุตฐิานในการวจัิย

    1) ลกัษณะประชากรศาสตร์ของชาวจงัหวดัสโุขทยัมีความสมัพันธ์ต่อการตดัสินใจเลือกตงั

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    2) การเปิดรับสือมีความสมัพันธ์ต่อการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวดั

    สโุขทยั

    1.4 ขอบเขตการศกึษา

    การศกึษาครังนีมุง่ทีจะศกึษาปัจจยัทีมีผลตอ่การเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดั

    สโุขทยั ในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559 ผู้ วิจยัได้กําหนดขอบเขตของการวิจยั ดงันี

    1.4.1 ขอบเขตด้านระยะเวลา ผู้ วิจัยทําการศึกษาระหว่างเดือนมกราคม – เดือนเมษายน

    พ.ศ.2559

    1.4.2ขอบเขตด้านเนือหา เพือศึกษาถึงปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียง

    เลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั และการเปิดรับสือของประชาชนชาวสโุขทยั

    1.5 นิยามศัพท์ทีเกียวข้อง

    ปัจจัยทีมีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตัง หมายถึง ปัจจัยทีผู้ มีสิทธิ

    เลือกตงัคํานึงถึงในการตัดสินใจลงคะแนนเสียงเลือกตังสมาชิกสภาผู้ราษฎร ได้แก่ ปัจจัยด้าน

    คณุลกัษณะของผู้สมคัรรับเลือกตงั ปัจจยัด้านการรณรงค์หาเสียงเลือกตงัของผู้สมคัรผ่านสือต่างๆ

    ปัจจยัด้านนโยบายของผู้สมคัร ปัจจยัด้านพรรคทีสงักดัของผู้สมคัร และปัจจัยด้านอิทธิพลของสือ

    บคุคล

    การเลือกตัง หมายถึง กิจกรรมทีแสดงออกถึงการมีสว่นร่วมทางการเมืองของประชาชน ผู้

    เป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยด้วยการไปออกเสียงเลือกตงัผู้แทนของตน ในการศกึษาครังนี หมายถึง

    การเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    การเปิดรับสือ หมายถึง การอา่น การรับฟัง การรับชม และการเปิดรับข่าวสารทัวไปจาก

    สือมวลชน ได้แก่ หนงัสือพิมพ์ วิทย ุโทรทศัน์ และอินเตอร์เน็ต โดยมีระดบัความถีของการเปิดรับสือ

    ดงันี

  • 6

    มากทีสดุ หมายถึง การเปิดรับสือทกุวนัๆ ละ 3-4 ชวัโมง

    มาก หมายถึง การเปิดรับสือทกุวนัๆ ละ 1-2 ชวัโมง

    ปานกลาง หมายถึง การเปิดรับสือวนัเว้นวนัๆ ละ ครึงชวัโมง

    น้อย หมายถึง การเปิดรับสือสปัดาห์ละ 1 วนัๆ ละ ครึงชวัโมง

    น้อยทีสดุ หมายถึง การเปิดรับสือเดือนละ 1-2 ครังๆ ละ ครึงชวัโมง

    1.6 ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับ

    1.6.1 ทําให้ทราบถึงปัจจยัทีมีผลตอ่การตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของชาว

    สโุขทยั

    1.6.2 ทําให้ทราบถึงความสมัพนัธ์ระหว่างลกัษณะทางประชากรศาสตร์กับการตดัสินใจ

    เลือกตงัของประชาชนในจงัหวดัสโุขทยั

    1.6.3 ทําให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างการเปิดรับสือกับการตัดสินใจเลือกตัง

    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจงัหวดัสโุขทยั

    1.6.4 เพือเป็นประโยชน์ในการสนองความพึงพอใจของประชาชนในการรณรงค์หาเสียง

    เลือกตงัครังตอ่ไป

  • บทท ี2

    แนวคิด ทฤษฎ ีและงานวิจัยทเีกียวข้อง

    การศึกษาเรือง “ปัจจัยทีมีผลต่อการตดัสินใจเลือกตงัสมาชิกสภาผู้ แทนราษฎรจังหวัด

    สโุขทยั: ศกึษาในห้วงเวลา ปี พ.ศ.2559” ซึงผู้ วิจยัได้นําแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยทีเกียวข้องมา

    เป็นแนวทางในการศกึษา โดยมีรายละเอียดดงันี

    2.1 ทฤษฎีการสือสารและการสือสารทางการเมือง

    2.2 แนวคิดเรืองการตดัสินใจเลือกตงั

    2.3 แนวคิดเกียวกบับทบาทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

    2.4 งานวิจยัทีเกียวข้อง

    2.5 กรอบแนวคิดในการวิจยั

    2.1 ทฤษฎีการสือสารและการสือสารทางการเมือง

    ทฤษฎีการสือสาร

    การสือสาร (Communication)มีรากศพัท์มาจากภาษากรีกว่าCommunisแปลว่า ทําให้

    เหมือน ซึงตอ่มาได้มีนกัวิชาการให้ความหมายของการสือสารไว้มากมาย ดงันี

    ความหมายของการสือสาร

    อริสโตเติล (Aristotle)5อธิบายว่าการสือสาร หรือวิชาวาทศิลป์ (Rhetoric) คือ การจูงใจ

    ทกุรูปแบบ

    วอร์เรน ดับเบิลยู วีเวอร์ (Warren W. Weaver)6กล่าวว่า การสือสารครอบคลุมถึง

    กระบวนการทกุอย่าง ทีบุคคลหนึงส่งผลต่อความรู้สึกของอีกบุคคลหนึง การสือสารจึงมิใช่เพียง

    การเขียนและการพดูเท่านนั แตร่วมไปถึงการแสดงและพฤติกรรมทกุอย่างของมนษุย์

    5นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558. 6เพิงอ้าง.

  • 8

    อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท7ให้ความหมายการสือสารไว้ว่า เป็นกระบวนการทีบุคคลหนึง

    ถ่ายทอดสารไปยงัอีกบคุคลหนึง และบคุคลหลงัมีปฏิกิริยาตอบโต้ ด้วยภาษาสญัลกัษณ์ทังทีเป็น

    ภาษาพดูและไมใ่ช่ภาษาพดู

    ปรมะสตะเวทิน8ได้ให้คําอธิบายของการสือสารว่าเป็นกระบวนการของการถ่ายทอดสาร

    จากบุคคลฝ่ายหนึงซึงเรียกว่าผู้ส่งสาร (source) ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึงซึงเรียกว่าผู้ รับสาร

    (receiver) โดยผา่นสือ (channel)

    สรุปได้ว่า การสือสารหมายถึงกระบวนการของการถ่ายทอดข้อมลูข่าวสารจากผู้ส่งสาร

    ผา่นสือไปยงัผู้ รับสาร

    ทฤษฎีการสือสารของเดวดิเคเบอร์โล(David K. Berlo)

    ทฤษฎีการสือสารของเดวิด เค เบอร์โล(David K. Berlo)9เป็นทฤษฎีพืนฐานทีจะทําความ

    เข้าใจกระบวนการสือสารได้อย่างชดัเจน โดยเบอร์โลอธิบายองค์ประกอบของกระบวนการสือสาร

    ไว้ 6 ประการ คือ

    1. แหลง่สาร (Source)

    2. ผู้ เข้ารหสัสาร (Encoder)

    3. เนือหาขา่วสาร (Message)

    4. ช่องทางการสือสาร (Channel)

    5. ผู้ถอดรหสัสาร (Decoder)

    6. ผู้ รับสาร (Receiver)

    7อรวรรณ ปิลนัธน์โอวาท. การสือสารเพือการโนม้นา้วใจ. พิมพ์ครังที 3.กรุงเทพมหานคร :

    สํานกัพิมพ์แห่งจฬุาลงกรณ์มหาวิทยาลยั, 2546. 8ปรมะ สตะเวทิน. การสือสารมวลชน : กระบวนการและทฤษฎี. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นสว่นจํากดัภาพพิมพ์, 2541. 9นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

  • 9

    การสือสารเป็นกระบวนการเริมต้นจากผู้ส่งสาร ซึงอาจเป็นบุคคลหนึงหรือกลุ่มคนทีมี

    จุดมุ่งหมายในการสือสารทําการส่งเนือหาข่าวสารซึงอาจเป็นคําพูด การเขียน สญัลกัษณ์ โดย

    การเข้ารหสัสารผา่นช่องทางการตา่งๆ ไปยงัผู้ รับสาร ซึงผู้ รับสารจะทําการถอดรหัสเพือรับสารนัน

    ซึงกระบวนการสือสารนี อาจเรียกทวัไปวา่ SMCRModel ตามแบบจําลองดงันี

    แผนภาพที1 : แบบจําลองการสือสารของเดวิด เค. เบอร์โล(David K.Berlo)10

    S : ผู้ส่งสาร M : สาร C : ช่องทาง R :ผู้รับสาร

    ผู้ส่งสาร(Sender)

    จากกรอบแนวคิดการสือสารของเดวิด เค. เบอร์โล(David K.Berlo) นนั จดุเริมต้นของการ

    สือสารอยู่ทีผู้ส่งสาร ซึงการส่งสารจะมีประสิทธิภาพหรือไม่นัน ขึนอยู่กับลกัษณะของผู้ส่งสาร 5

    ประการ ดงันี11

    1. ทกัษะในการสือสาร หมายถึง ความชํานาญในการพดูการเขียนการคิดการใช้เหตผุลใน

    การโน้มน้าวจงูใจ ซึงหากผู้สง่สารมีความสามารถในการจดัเรียงระบบความคิด แล้วนําเสนอด้วย

    บคุลิกสีหน้า กริยาท่าทาง นําเสียงทีน่าเชือถือ การสือสารนนัจะมีประสิทธิภาพสงู

    10 David K. Berlo, The Process of Communication. New York : Holt Rinehart &

    Winston Inc., 1960. 11นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

    ทกัษะการสอืสาร

    ความรู้

    ทศันคติ

    ระบบสงัคม

    วฒันธรรม

    ทกัษะการสอืสาร

    ความรู้

    ทศันคติ

    ระบบสงัคม

    วฒันธรรม

    การเห็น

    การได้ยิน

    การสมัผสั

    การได้กลนิ

    การรู้รส

    องค์ประกอบ โครงสร้าง

    เนื

    หั

    วิธีการ

  • 10

    2. ทศันคติ หมายถึง วิธีคิดของแตล่ะบคุคลทีมีมีตอ่สิงตา่งทศันคติในการสือสาร ประกอบ

    ด้วย ทัศนคติต่อตนเองทัศนคติต่อประเด็นของการสือสารทัศนคติต่อผู้ รับสารและทัศนคติต่อ

    สภาพแวดล้อมทีดํารงอยู่ในขณะทีสือสาร ทัศนคติเหล่านีมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของการ

    สือสารเป็นอย่างยิง ตวัอย่างเช่น หากผู้สง่สารมีอคติตอ่ “สาร” ทีต้องการจะนําเสนอ ก็ไม่อาจโน้ม

    น้าวใจผู้ รับสารให้เชือใน “สาร” นนัได้

    3. ระดบัความรู้ของผู้สง่สาร เป็นปัจจยัสําคญัทีจะทําให้การสือสารนนัมีประสิทธิภาพผู้ส่ง

    สารจะต้องเป็นผู้ รอบรู้ในเรืองทีต้องการจะสือสาร และสถานการณ์ต่างๆ รอบตัวรวมทังต้อง

    วิเคราะห์ผู้ รับสารให้เข้าใจอย่างลกึซึงก่อนทีจะทําการสือสาร

    4. ระบบสงัคมเป็นตวักําหนดบทบาทและพฤติกรรมของบุคคลในสงัคมนันๆ ผู้ส่งสารจึง

    ต้องเข้าใจระบบสงัคมเพือทีจะปรับตวัให้สอดคล้องกบัระบบ อนัก่อให้เกิดการยอมรับของผู้ รับสาร

    5. ระบบวฒันธรรมหมายถึงวิถีชีวิต คา่นิยม ความเชือขนบธรรมเนียมของสงัคมนันๆผู้ส่ง

    สารจึงต้องทําความเข้าใจและไม่ส่งสารในลกัษณะทีขัดแย้งกับความเชือ ค่านิยมของผู้ รับสาร

    เพราะนอกจากจะไมส่ามารถสือสารให้บรรลเุป้าหมายแล้ว ยงัอาจนําไปสูค่วามขดัแย้งได้

    สาร (Message)

    องค์ประกอบที2 ของการสือสาร คือ “สาร” (Message)จะต้องมีคณุลกัษณะดงันี12

    1. รหัสของสาร (Message Codes) คือ การนําเอาภาษา สัญลักษณ์ต่างๆ มาใช้เพือ

    ถ่ายทอดข้อมูลไปยังผู้ รับสาร ซึงรหัสของผู้ส่งสารควรเป็นระบบเดียวกันกับรหัสของผู้ รับสาร

    เพือให้ผู้ รับสารสามารถถอดรหสัสารได้ หากผู้ รับสารไมส่ามารถถอดรหสัสารได้ การสง่สารนันก็ไม่

    บรรลเุป้าหมาย

    2. เนือหา(Content) คือ สาระทีต้องการนําเสนอ ครอบคลมุประเดน็ตา่งๆ ทังหมด เนือหา

    ของสารนนัไมค่วรยากจนเกินความสามารถของผู้ รับสารจะเข้าใจได้ และไม่ง่ายจนผู้ รับสารไม่มี

    ความจําเป็นทีจะต้องรับสารแตอ่ย่างใด

    3. การจดัเรียงลําดบัสาร (Treatment)คือ การจัดเรียงลําดบัเนือหา การเลือกใช้ถ้อยคํา

    ภาษา ไวยากรณ์ การเน้นยําข้อความ ซึงการจดัสารนีจะต้องมีการเตรียมการลว่งหน้า หากจัดสาร

    ได้ดีก็ย่อมสง่ผลตอ่ประสิทธิภาพทีดีของการสือสารด้วย

    12นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

  • 11

    ช่องทางในการส่งสาร (Channel)

    เบอร์โลอธิบายการนําสารไปสู่ประสาทรับรู้ทัง 5ประการ ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การ

    สมัผสั การได้กลิน และการลิมรส ซึงช่องทางการรับสารดงักลา่วนี เป้นการสือสารแบบเผชิญหน้า

    แตห่ากเป็นการสือสารผา่นสือมวลชน ช่องทางในการสือสารของสือเหลา่นี ได้แก่ สือโทรทัศน์วิทย ุ

    หนงัสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ต และสือใหม ่(New Media)เป็นต้น

    ผู้รับสาร (Receiver)

    องค์ประกอบที4 ของการสือสาร คือ ผู้ รับสาร เป็นองค์ประกอบทีมีความสําคญัมากทีสดุ

    เพราะวัตถุประสงค์ของการสือสาร คือ การนําสารไปให้ถึงผู้ รับสารได้ ดังนัน ในกระบวนการ

    สือสารสิงทีต้องตระหนกัถึงเป็นสิงแรก คือ ผู้ รับสาร ซึงในแบบจําลองของเบอร์โลนี ผู้ รับสารจะต้อง

    ถอดรหัสสารของผู้ส่งสาร คุณลักษณะของผู้ส่งสารจึงเป็นองค์ประกอบเดียวกับผู้ รับสารทัง 5

    ประการ

    จากกรอบแนวคิดการสือสารของเบอร์โลนัน จะเห็นได้ว่าปัจจัยร่วมระหว่างผุ้ส่งสารและ

    ผู้ รับสาร คือ ทกัษะ ทศันคติ ความรู้ ระบบสงัคมและวฒันธรรม นันหมายความว่า การสือสารจะ

    บรรลุวตัถุประสงค์ ผู้ส่งสารจะต้องเข้าใจทัศนคติ ระบบสงัคมวฒันธรรมของผู้ รับสาร เพือปรับ

    ทกัษะทางการสือสารให้สอดคล้องกนั ในทางการเมืองหากนกัการเมืองไมเ่ข้าใจ หรือไม่ปรับตวัให้

    เข้ากบัผู้ รับสารก็ยากทีจะเปิดใจให้ประชาชนยอมรับสารของตนได้

    ทฤษฎีการสือสารทางการเมือง

    ในการสือสารทางการเมืองนัน การเลือกใช้สือเป็นเรืองสําคัญทีจะบ่งบอกความมี

    ประสิทธิภาพของการสือสารจากรัฐบาลไปยังประชาชนนักวิชาการด้านการสือสาร ได้อธิบายทัง

    คําวา่ “การสือสารทางการเมือง”ไว้หลากหลายดงันี

    ความหมายของการสือสารทางการเมือง

    เดนตนั และวดูเวิร์ด (Denton & Woodward)13ให้ความหมายการสือสารทางการเมืองว่า

    หมายถึง การถกเถียงสาธารณะเกียวกับการจัดสรรสาธารณะประโยชน์ (รายได้) อํานาจหน้าที

    13นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

  • 12

    (ใครจะทําหน้าทีบริหารนิติบญัญัติและตลุาการ) และกําหนดกฎระเบียบในสงัคม (การให้รางวลั

    และการลงโทษ)

    คาร์ล ดบัเบิลย.ูดอยท์ช (Karl W. Deutch)14นกัรัฐศาสตร์ชาวเช็กเชือสายเยอรมนั เป็นผู้ ที

    สือให้เห็นถึงความสําคญัของการสือสารทางการเมืองอย่างยิง โดยอธิบายว่า การสือสารทาง

    การเมืองวา่เปรียบเสมือนเส้นประสาทของมนษุย์ และการสือสารทางารเมืองก็เป็นดงัเส้นใยสมอง

    ของรัฐบาล หากปราศจากซึงการสือสาร รัฐบาลก็ไมอ่าจดํารงอยู่ได้ การเมืองจึงเป็นเรืองทีไม่อาจ

    แยกออกจากการสือสารได้เลย เพราะหากปราศจากการสือสารก็ไม่อาจนํามาซึงการตอบรับ

    สนบัสนุนจากประชาชน ซึงระบอบประชาธิปไตยถือเสียงประชาชนเป็นผู้ตดัสินเลือกผู้ปกครอง

    กระบวนการสือสารทางการเมืองจึงเป็นกระบวนการทีสําคญัในทกุขนัตอนทางการเมือง

    สรุพงษ์ โสธนะเสถียร15 ได้ให้ความหมายการสือสารทางการเมืองไว้ว่า เป็นกระบวนการ

    ในการชีนํา และตรวจสอบพลงัความพยายามของมนุษย์เพือให้บรรลเุป้าหมายทังปวง คํานึงถึง

    พลังของประชาชน การสือสารทางการเมืองจึงไม่เ ชือในเ รืองชะตากรรม แต่เ ชือมันใน

    ความสามารถและการกระทําของมนุษย์ทีอาศยัผลประโยชน์จากธรรมชาติของการเมือง การ

    สือสารทางการเมืองจึงเป็นเรืองของมนุษย์ทีแสวงหาประโยชน์ เสมือนเกษตรกรอาศัย

    ความสามารถและความคิดริเริมสร้างสรรค์ของตนในการเพาะปลกูและการเก็บเกียวข้าวซึงเป็น

    สว่นหนึงของผลผลิตในธรรมชาติ

    พฤทธิสาณ ชุมพล16ได้ให้ความหมายการสือสารทางการเมืองไว้ว่า ประเด็นสําคญัของ

    การสือสารทางการเมืองทีควรพิจารณาคือ 1) เกียวข้องกับบุคคลตงัแต่สองคนขึนไปหรือมากกว่า

    นนั 2) เป็นการแลกเปลียนข้อมลูข่าวสารทางการเมือง และ 3) เพือก่อให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน

    ในทางการเมือง

    สรุปได้วา่ การสือสารทางการเมือง หมายถึงเป็นกระบวนการทางการเมืองทีเกียวข้องกับ

    การแลกเปลียนข้อเท็จจริง ทศันะ และความคิดเห็น ตลอดจนประสบการณ์ต่างๆในทางการเมือง

    14เพิงอ้าง. 15สรุพงษ์ โสธนะเสถียร, หลกัและทฤษฎีการวิจยัทางสงัคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: ประ

    สิทธิภณัท์ แอนด์ พรินติง, 2545. 16พฤทธิสาณ ชุมพล. ระบบการเมือง : ความรู้เบืองต้น.กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์

    มหาวิทยาลยั, 2534.

  • 13

    ระหว่างบุคคล การสือสารทางการเมืองนับเป็นกระบวนการพิเศษทีก่อให้เกิดการปฏิสมัพันธ์

    ระหวา่งสมาชิกของสงัคมการเมือง และทําให้บคุคลสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ในสงัคมการเมือง17

    ทฤษฎีการสือสารทางการเมืองของไบรอัน แมคแนร์ (Brian McNair)

    ไบรอนั แมคแนร์ (Brian McNair)18อธิบายวา่ กิจกรรมทางการเมืองทงัหมด คือ การสือสาร

    ทางการเมือง กลา่วคือ ทกุอย่างทีปรากฏสูส่ายตาของประชาชน ไม่เพียงแต่การพูด การเขียนเท่านัน

    การแตง่กาย ทรงผม ตราสญัลกัษณ์ ล้วนเป็นองค์ประกอบของการสือสารทางการเมืองอนัจะนําไปสู่

    ภาพลกัษณ์ หรืออตัลกัษณ์ของบคุคล

    แบบจําลองการสือสารทางการเมืองของไบร์อนั แมคแนร์(Brian McNair) ได้อธิบายการ

    คณุลกัษณะทีจดัได้วา่เป็นการสือสารทางการเมืองใน 3ข้อดงันี 19

    1. การสือสารทกุรูปแบบทีดําเนินการโดยนกัการเมือง และผู้ทีเกียวข้องทางการเมือง

    โดยมีวตัถปุระสงค์ทีเฉพาะเจาะจง

    2. การสือสารทีสือมวลชนนําเสนอเกียวกบัการเมือง

    3. กิจกรรมการสือสารทีสือมวลชนนําเสนอเกียวกับการเมือง เช่น การรายงานข่าว

    บทบรรณาธิการฯลฯ

    17Warren K. Agree, Phillip H. Ault and Edwin Emery. Introduction to Mass

    Communication. New York: Harper & Row, 1976. 18Brian McNair. An Introduction to Political Communication. London: Routledge,

    1999. 19นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

  • 14

    แผนภาพที 2 : แบบจําลองการสือสารทางการเมืองของไบร์อนั แมคแนร์(Brian McNair)

    การรายงานขา่ว

    บทบรรณาธิการ

    บทวิเคราะห์

    ทศันะจากการหยงัเสียง/จดหมาย

    การโฆษณาประชาสมัพนัธ์

    แบบจําลองการสือสารทางการเมืองนี แบ่งผู้ เกียวข้องเป็น 3 กลุม่ ดงันี20

    1. กลุม่องค์กรทางการเมือง ในฐานะต้นธารของ “สาร” ทีต้องการสง่ออกไป เพือให้มีอิทธิพลเหนือการตดัสินใจของประชาชนและรัฐบาล โดยองค์กรทางการเมืองประกอบด้วย พรรค

    การเมือง รัฐบาล องค์กรสาธารณะ กลุม่กดดนั และองค์การก่อการร้าย ฯลฯ

    2. กลุม่สือมวลชน เป็นองค์ประกอบทีสําคญัในฐานะผู้ส่งสารไปยังประชาชน และขณะเดียวกนัก็ทําหน้าทีในการสง่สารจากประชาชนไปยงันกัการเมือง หรือองค์กรทางการเมือง

    3. กลุ่มประชาชน คือ กลุ่มเป้าหมายของการสือสารทางการเมือง หากไม่มีประชาชน การสือสารทางการเมืองก็ไมอ่าจบรรลวุตัถุประสงค์ได้ ดงันัน การสือสารทางการเมือง

    จึงมกัทีจํานําเสนอข้อมลูขา่วสารให้เข้าถึงประชาชนแตล่ะกลุม่ เพือให้ได้ผลตามทีมุง่หมายไว้

    20นันทนา นันทวโรภาส.สือสารการเมือง : ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้. พิมพ์ครังที 2.

    กรุงเทพฯ : แมสมีเดีย.2558.

    สือมวลชน

    ประชาชน

    องค์การทาง

    การเมือง

  • 15

    ทฤษฎีการสือสารทางการเมืองของฮาร์โรล ดี ลาสเวล (Harold D. Lasswell)

    ฮาร์โรล ดี ลาสเวล (Harold D. Lasswell)21เป็นนักรัฐศาสตร์ทีให้ความสําคัญกับ

    กระบวนการสือสารทีสง่ผลทางการเมือง โดยนําเสนอแบบจําลองการสือสารทางการเมืองไว้ ดงันี

    แผนภาพที3 : แบบจําลองของฮาร์โรลด์ ลาสเวลส์ (Harold Lasswell)

    จากแบบจําลองของลาสเวลจะพบว่ากระบวนการสือสารจะเริมต้นจากใคร (who) ซึงจะ

    เป็นผู้สง่สาร พดูอะไร (Say what) ซึงเป็นเนือหาขา่วสาร(Message) โดยใช้ช่องทางการสือสาร(In

    WhatChannel) ไปยงับคุคลอีกฝ่ายหนึง (To Whom) คือผู้ รับสาร (Receiver) อนัจะก่อให้เกิดผล

    จากการสือสารอย่างใดอย่างหนึง (With What Effect) ซึงก็คือผลของการสือสาร (Effect) นนัเอง

    2.2 แนวคิดเรืองการตดัสินใจเลือกตงั

    การเลือกตงัถือเป็นกิจกรรมทีสําคญัอย่างยิงในกระบวนการทางการเมืองทีเป็นพืนฐาน

    ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึงเป็นตวับ่งชีสําคญัอนัหนึงว่าในช่วงเวลาหนึงคณะ

    บุคคลใดจะได้ทําหน้าทีในการบริหารประเทศและประเทศจะเป็นไปในแนวทางใดก็ด้วยความ

    เห็นชอบหรือฉนัทานมุตัิของประชาชนส่วนใหญ